ข้าวตากลาน เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทุกโรงสีทำกัน ถึงแม้ว่าจะมีตู้อบ แต่ก็มีจากสาเหตุหลายประการที่ทำให้ต้องตากลาน
ที่จะพูดในตอนนี้คือ การลดค่าน้ำมันในการเก็บกวาดข้าวที่ตากไว้นั่นเอง แน่นอน อยากจะย้ำว่าหลายแห่งละเลย ไม่ให้ความสำคัญ ขาดการควบคุมและตรวจสอบ
ข้าพเจ้าขอสมมุติขึ้นมาละกันว่า ตากข้าวไว้บนลาน ข้าวถูกกระจายแผ่ออกเป็นพื้นที่ขนาดกว้าง 30 เมตร ยาว 40 เมตร บุ๋งกี้รถตักกว้าง 2.5 เมตร ผานเสริมกว้าง 4 เมตร ข้าวหนาประมาณ 10 ซม.
คำถามง่ายๆ คือ รถตักควรวิ่งกวาดข้าวกี่รอบ หรือกี่ครั้ง
คำถามถัดมาคือ รูปแบบการกวาดควรเป็นแบบใด กวาดไปกองไว้ตรงไหนถึงจะทำให้เกิดประสิทธิภาพที่สุด
อย่างแรกที่ควรทำคือ รถตัก ต้องมีผานเสริมเพื่อให้กวาดได้กว้างขึ้น ลดจำนวนรอบลง ซึ่งคิดว่าทุกโรงสีมี และทำอยู่แล้วแต่บางครั้งก็ไม่ใส่เอาดื้อๆ พอถามก็บอก มันนิดเดียว ขี้เกียจ ก็ว่ากันไป
ถัดมา จำนวนรอบที่กวาด ไม่ควรมากกว่า หน้ากว้างของข้าวที่ตาก ในที่นี้ 30 หรือ 40 เมตร แล้วแต่จะเลือกกวาดด้านใด บวกด้วย 1 หรือ 2
สมมุติว่ากวาดด้าน 40 เมตรแล้วกัน หารง่ายหน่อย ได้ = 40/4 + 2 = 12 รอบ x 30 (ระยะทางที่รถวิ่ง) x 2 (ไปกลับ) = 720 เมตร
ถ้ากวาดอีกด้านละ จะได้ = 30/4 = 7.5 ประมาณ 8 รอบ + 2 = 10 รอบ x 40 (ระยะทางที่รถวิ่ง) x 2 (ไปกลับ) = 800 เมตร
จะเห็นว่าต่างกัน ไม่มากครับ ไม่มาก แต่ถ้าคิดเป็นเปอร์เซนต์เยอะนะ ตั้ง 10 % แล้วถ้าทำทุกวันละ
ทีนี้ปัญหาที่พบส่วนใหญ่ รถตักจะใช้จำนวนรอบมากกว่านี้ เนื่องจากเก็บกวาดไม่หมดครับ (ไม่ใช่ไม่เกลี้ยงนะ คนละความหมาย) ล้นใบกวาดเลยต้องวนอีกรอบ ดูจากรูปคงเข้าใจ อันนี้เราต้องให้แนวคิดกับพนักงานขับรถครับ เพื่อเขาจะได้พัฒนาตนเองได้ เป็นการพัฒนางาน ยิ่งถ้าเรามีการจดบันทึกข้อมูลการใช้น้ำมัน ปริมาณข้าวที่ตาก ก็ยิ่งดี เราก็ได้ค่าน้ำมันต่อตันข้าวเปลือกออกมา ตัวนี้ใช้เป็น KPI พนักงานในส่วนนี้ได้เลย
เสริมอีกนิดยางรองควรตรวจสอบหน่อยนะครับ ถ้าหมดสภาพก็เปลี่ยนใหม่เสีย มอบหมายให้ใครสักคนที่เกี่ยวข้องเป็นผู้รับผิดชอบ และตรวจสอบ ไม่งั้นข้าวป่นหมด ดูข้าวไก่ครับ ถ้าเยอะต้องหาสาเหตุและแก้ไข อันนี้ฝ่ายบริหารดูจากสถิติ และตัวเลขที่บันทึกไว้
ไว้มาเขียนต่อครับ ยังไม่จบ
14 ธันวาคม, 2557
07 ธันวาคม, 2557
เพลาราว และค่าไฟ
ในปัจจุบันยังมีโรงสีที่ใช้เพลาราวอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย ที่ต้องเสียค่าไฟไปโดยเปล่าประโยชน์ เนื่องจากไม่ปลดโหลดที่ไม่ใช้งานออก
จะยกตัวอย่างให้ฟัง มีโรงสีแห่งหนึ่งใช้เพลาราว แต่เดิมก็ใช้หม้อไอน้ำเป็นต้นกำลัง ภายหลังเปลี่ยนเป็นมอเตอร์ใหญ่แทน แล้วภาคข้าวกล้อง บางส่วนก็หันมาใช้มอเตอร์ขับตรงแทน ไม่ได้ใช้เพลาราว พูดง่ายๆ ว่า มีเพลาราวส่วนหนึ่งยาวประมาณ 20 เมตร ไม่ได้ใช้งาน เนื่องจากปลดสายพานออกแล้ว แต่พูเลย์ยังอยู่ เมื่อโรงสีทำงาน ก็หมุนไปพร้อมเพื่อนเหมือนเดิม
เราก็เห็นว่า มันกินไฟนะ ทำไมไม่ปลดออกละ แค่ถอดมัดข้าวต้มออก ถอยเพลาหน่อยก็ได้แล้ว ใช้เวลาไม่นาน ก็จัดการบอกเสี่ย ว่าจะทำอย่างนี้นะ ขอคนช่วยหน่อย ก่อนทำก็วัดค่าพลังงานที่ใช้ เดินตัวเปล่า พอถอดออกแล้วก็วัดอีก เดินตัวเปล่าเหมือนกันสิ
ผลที่ได้ออกมา ปรากฏว่า ก่อนหลังกินไฟต่างกัน 5 กิโลวัตต์ โอ้โห ถ้าเดินเครื่อง 1 ชั่วโมง ก็ 5 หน่วยนะ คิดหน่วยละ 3 บาท ก็ 15 บาทต่อชั่วโมงเชียวที่เสียไปฟรีๆ
แล้วคิดต่อไปอีก (คิดมากจัง) ว่าถ้าโรงสีแห่งนี้ทำงานวันละ 10 ชั่วโมง ก็ 150 บาทต่อวัน เขาทำมากี่วัน กี่เดือนแล้วเนี่ย ก่อนได้มาเจอกัน นี่ยังไม่ได้ถามการอัดจาระบี การหล่อลื่นเลยนะว่าทำบ่อยไหม
เฮ้อ... บอกแล้วว่าเสียดายแทน
จะยกตัวอย่างให้ฟัง มีโรงสีแห่งหนึ่งใช้เพลาราว แต่เดิมก็ใช้หม้อไอน้ำเป็นต้นกำลัง ภายหลังเปลี่ยนเป็นมอเตอร์ใหญ่แทน แล้วภาคข้าวกล้อง บางส่วนก็หันมาใช้มอเตอร์ขับตรงแทน ไม่ได้ใช้เพลาราว พูดง่ายๆ ว่า มีเพลาราวส่วนหนึ่งยาวประมาณ 20 เมตร ไม่ได้ใช้งาน เนื่องจากปลดสายพานออกแล้ว แต่พูเลย์ยังอยู่ เมื่อโรงสีทำงาน ก็หมุนไปพร้อมเพื่อนเหมือนเดิม
เราก็เห็นว่า มันกินไฟนะ ทำไมไม่ปลดออกละ แค่ถอดมัดข้าวต้มออก ถอยเพลาหน่อยก็ได้แล้ว ใช้เวลาไม่นาน ก็จัดการบอกเสี่ย ว่าจะทำอย่างนี้นะ ขอคนช่วยหน่อย ก่อนทำก็วัดค่าพลังงานที่ใช้ เดินตัวเปล่า พอถอดออกแล้วก็วัดอีก เดินตัวเปล่าเหมือนกันสิ
ส่วนเพลาที่ปลดสายพานออก ไม่ได้ใช้งานแล้ว แต่ยังหมุนไปพร้อมกัน |
ถอดมัดข้าวต้มออก |
ถอยเพลาออกจากกัน ไม่ต้องมากขนาดนี้ก็ได้ |
ผลที่ได้ออกมา ปรากฏว่า ก่อนหลังกินไฟต่างกัน 5 กิโลวัตต์ โอ้โห ถ้าเดินเครื่อง 1 ชั่วโมง ก็ 5 หน่วยนะ คิดหน่วยละ 3 บาท ก็ 15 บาทต่อชั่วโมงเชียวที่เสียไปฟรีๆ
แล้วคิดต่อไปอีก (คิดมากจัง) ว่าถ้าโรงสีแห่งนี้ทำงานวันละ 10 ชั่วโมง ก็ 150 บาทต่อวัน เขาทำมากี่วัน กี่เดือนแล้วเนี่ย ก่อนได้มาเจอกัน นี่ยังไม่ได้ถามการอัดจาระบี การหล่อลื่นเลยนะว่าทำบ่อยไหม
เฮ้อ... บอกแล้วว่าเสียดายแทน
06 ธันวาคม, 2557
กะพ้อ และรางข้าว สิ่งที่ละเลยในการติดตั้งและตรวจสอบ
"ทำไมสีได้ต้นน้อยจังเลยครับ" คำถามจากเจ้าของโรงสี
"ข้าวต้นกล้องมาเท่าไร" ข้าพเจ้าถามกลับบ้าง
"40 กว่าครับ น่าจะสีได้สัก 50"
"ไม่ใช่ นั่นกรัมข้าวขาว ข้าวต้นกล้อง คือ ข้าวต้นของข้าวกล้อง หลังจากผ่านตะแกรงโยกแล้วก่อนเข้าเครื่องขัดขาว หรือ หิน#1 น่ะ"
"อ๋อ ไม่ได้วัดครับ"
"เอามาวัดเลย... ชั่ง 100 กรัมนะ ได้เท่าไร... 80 แล้วเมล็ดร้าวข้าวกล้องละ มากกว่า 20 เหรอ ถ้ามาขนาดนี้ ก็สีได้ต้นประมาณนี้ละ ปรับแต่งได้อีกไม่เท่าไร ข้าวต้นกล้องมาน้อย ต้องดูหลายจุด"
"แต่ว่า... ผมเอาข้าวเปลือกมาวัด ได้ข้าวต้นตั้ง 128 นะครับ มันหายไปไหน"
แล้วข้าพเจ้าก็ร่ายยาว เรื่องที่ต้องตรวจสอบในแต่ละจุด ตอนนี้เอาเรื่องกะพ้อ และรางข้าวก่อนนะครับ ตามหัวข้อ ไม่งั้นยาวแน่
ขออธิบายนิดนะครับ โรงสีแห่งนี้ใช้การตรวจสอบด้วยการชั่งข้าวเปลือก 200 กรัม กะเทาะเครื่องเล็ก แล้วผ่านตะแกรงกลมเล็ก เบอร์ 6 เพื่อดูข้าวต้น ในที่นี้ 128 ก็แสดงว่าได้ต้น = 128/2 = 64 % นั่นเอง ส่วนการตรวจสอบในขั้นตอนการขัดขาว ใช้วิธีเดียวกัน แต่ชั่งข้าวแต่ละขัดเพียง 130 กรัม ค่าที่ได้หารด้วย 2 ก็เป็นเปอร์เซนต์ข้าวต้นของแต่ละขัด ส่วน 80% เมื่อคิดเป็นข้าวต้นได้ 52%
ข้าพเจ้าดูแล้ว ข้าวกล้องจากตะแกรงโยก ผ่านสายพานลำเลียง ลงกะพ้อไปถังพักข้าว ผ่านเครื่องแยก หิน ลงกะพ้อไปถังพักข้าวของขัด#1 ซึ่งกะพ้อต้นที่รับจากสายพานลำเลียงน่าจะเป็นปัญหา จากลักษณะฮอปเปอร์รับข้าว เลยเปิดดู ปรากฏว่า พูเลย์บดข้าวครับ เลยต้องตรวจสอบง่ายๆ คือเก็บต้วอย่างก่อนลงกะพ้อ และหลังกะพ้อ
"เป็นไงวัดได้รึยัง ก่อนเท่าไร หลังเท่าไร"
"ได้แล้วครับ ก่อน 107 หลัง 103 ครับ เยอะไหมครับ"
"โอ้โห ไม่เยอะได้ไง หายไป 4 ก็ 2% ข้าวต้นใช้ไหม การแตกหักจากกะพ้อ อนุโลมให้ได้ไม่เกิน 0.1% ต่อต้น เท่านั้นเอง ยิ่งน้อยยิ่งดี"
แล้วข้าพเจ้าก็อธิบายลักษณะการไหลของข้าวจากสายพานลำเลียงที่ไม่เหมาะสม ลักษณะฮอปเปอร์รับข้าว และตำแหน่งรางส่งข้าวเข้าลูกกะพ้อ พร้อมการแก้ไข
"แก้รางส่งข้าวก่อน ใช้แผ่นพลาสติกนะ (ข้าพเจ้าหมายถึง พีพีบอร์ด) จะได้ตัดแต่งง่าย พอได้ผลแล้วค่อยใช้แผ่นลื่นถาวร"
"ครับ ผมจัดการให้"
"เป็นไง แก้หรือยัง วัดได้เท่าไร" ข้าพเจ้าถามในวัดถัดมา
"เรียบร้อยครับ ก่อนได้ 108 หลังได้ 108 ครับ"
"โอเค ได้ระดับหนึ่ง แต่ยังไม่พอ เพราะเราไม่ได้วัดละเอียดถึงจุดทศนิยม ไม่แน่ว่าการแตกหักยังมากกว่าเกณฑ์ที่อาจารย์บอกก็ได้ ใช่ไหม"
"ครับ"
"งั้นเราไปดูที่กะพ้อกัน เห็นไหม มันน้อยลงก็จริง แต่ยังเยอะอยู่ เนื่องจากข้าวจากสายพาน มันมาเป็นระยะๆ ไม่สม่ำเสมอ ทำให้ลูกกะพ้อรับไม่หมด ลูกถัดไปต้องไปตักจากตีนกะพ้อ แล้วอีกอย่างข้าวไหลแรงเกินไป กะฉอกหมด"
...ข้าพเจ้าหาวัสดุแถวนั้นไปรองรับข้าว ปรับให้ไหลช้าลง และสม่ำเสมอขึ้น แล้วให้ดูที่พูเลย์ที่บดข้าว
"เป็นไง"
"น้อยลงเยอะครับ ไม่ค่อยมีแล้ว"
"โอเค ได้แนวทางแล้วนะ ต่อไปมีเวลาก็ทำให้แน่นหนา ถาวรละ"
"ครับ"
นอกจากนี้ข้าพเจ้ายังพบว่ารางข้าวจากเครื่องขัดขาวมาลงกะพ้อชัน ข้าวไหลแรง จนรู้สึกเจ็บมือ เลยต้องให้หาวัสดุนุ่มๆ มารองรับการกระแทก รางข้าวที่ยาว ชัน ข้าวไหลแรงกระแทกเหล็ก ซึ่งมีโอกาสทำให้การแตกหักเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น
อีกจุดหนึ่งที่โรงสีส่วนใหญ่ละเลยคือ ฮอปเปอร์ของเครื่องยิงสี บางเครื่องไม่มีแผ่นบุรองรับ บางเครื่องมี แต่ชำรุดแล้ว ข้าวชนเหล็กเหมือนเดิม ผลคือ ได้เต้ยแถมมาหลังผ่านเครื่องยิงสี ถ้าอย่างนี้ต้องตรวจสอบแล้วนะ และควรทำเป็นประจำ กำหนดเวลาตรวจสอบทุกกี่เดือนก็ว่าไปตามเหมาะสมนะครับ
ไว้เจอกันคราวหน้าจะหาเกร็ดเล็ก เกร็ดน้อยมาฝากอีก ลาละ บ้าย บาย...
"ข้าวต้นกล้องมาเท่าไร" ข้าพเจ้าถามกลับบ้าง
"40 กว่าครับ น่าจะสีได้สัก 50"
"ไม่ใช่ นั่นกรัมข้าวขาว ข้าวต้นกล้อง คือ ข้าวต้นของข้าวกล้อง หลังจากผ่านตะแกรงโยกแล้วก่อนเข้าเครื่องขัดขาว หรือ หิน#1 น่ะ"
"อ๋อ ไม่ได้วัดครับ"
"เอามาวัดเลย... ชั่ง 100 กรัมนะ ได้เท่าไร... 80 แล้วเมล็ดร้าวข้าวกล้องละ มากกว่า 20 เหรอ ถ้ามาขนาดนี้ ก็สีได้ต้นประมาณนี้ละ ปรับแต่งได้อีกไม่เท่าไร ข้าวต้นกล้องมาน้อย ต้องดูหลายจุด"
"แต่ว่า... ผมเอาข้าวเปลือกมาวัด ได้ข้าวต้นตั้ง 128 นะครับ มันหายไปไหน"
พูเลย์กะพ้อบดข้าวทำให้การแตกหักเพิ่มขึ้น ต้นลดลงโดยไม่จำเป็น |
แล้วข้าพเจ้าก็ร่ายยาว เรื่องที่ต้องตรวจสอบในแต่ละจุด ตอนนี้เอาเรื่องกะพ้อ และรางข้าวก่อนนะครับ ตามหัวข้อ ไม่งั้นยาวแน่
ขออธิบายนิดนะครับ โรงสีแห่งนี้ใช้การตรวจสอบด้วยการชั่งข้าวเปลือก 200 กรัม กะเทาะเครื่องเล็ก แล้วผ่านตะแกรงกลมเล็ก เบอร์ 6 เพื่อดูข้าวต้น ในที่นี้ 128 ก็แสดงว่าได้ต้น = 128/2 = 64 % นั่นเอง ส่วนการตรวจสอบในขั้นตอนการขัดขาว ใช้วิธีเดียวกัน แต่ชั่งข้าวแต่ละขัดเพียง 130 กรัม ค่าที่ได้หารด้วย 2 ก็เป็นเปอร์เซนต์ข้าวต้นของแต่ละขัด ส่วน 80% เมื่อคิดเป็นข้าวต้นได้ 52%
ข้าพเจ้าดูแล้ว ข้าวกล้องจากตะแกรงโยก ผ่านสายพานลำเลียง ลงกะพ้อไปถังพักข้าว ผ่านเครื่องแยก หิน ลงกะพ้อไปถังพักข้าวของขัด#1 ซึ่งกะพ้อต้นที่รับจากสายพานลำเลียงน่าจะเป็นปัญหา จากลักษณะฮอปเปอร์รับข้าว เลยเปิดดู ปรากฏว่า พูเลย์บดข้าวครับ เลยต้องตรวจสอบง่ายๆ คือเก็บต้วอย่างก่อนลงกะพ้อ และหลังกะพ้อ
"เป็นไงวัดได้รึยัง ก่อนเท่าไร หลังเท่าไร"
"ได้แล้วครับ ก่อน 107 หลัง 103 ครับ เยอะไหมครับ"
"โอ้โห ไม่เยอะได้ไง หายไป 4 ก็ 2% ข้าวต้นใช้ไหม การแตกหักจากกะพ้อ อนุโลมให้ได้ไม่เกิน 0.1% ต่อต้น เท่านั้นเอง ยิ่งน้อยยิ่งดี"
แล้วข้าพเจ้าก็อธิบายลักษณะการไหลของข้าวจากสายพานลำเลียงที่ไม่เหมาะสม ลักษณะฮอปเปอร์รับข้าว และตำแหน่งรางส่งข้าวเข้าลูกกะพ้อ พร้อมการแก้ไข
"แก้รางส่งข้าวก่อน ใช้แผ่นพลาสติกนะ (ข้าพเจ้าหมายถึง พีพีบอร์ด) จะได้ตัดแต่งง่าย พอได้ผลแล้วค่อยใช้แผ่นลื่นถาวร"
"ครับ ผมจัดการให้"
"เป็นไง แก้หรือยัง วัดได้เท่าไร" ข้าพเจ้าถามในวัดถัดมา
"เรียบร้อยครับ ก่อนได้ 108 หลังได้ 108 ครับ"
"โอเค ได้ระดับหนึ่ง แต่ยังไม่พอ เพราะเราไม่ได้วัดละเอียดถึงจุดทศนิยม ไม่แน่ว่าการแตกหักยังมากกว่าเกณฑ์ที่อาจารย์บอกก็ได้ ใช่ไหม"
"ครับ"
"งั้นเราไปดูที่กะพ้อกัน เห็นไหม มันน้อยลงก็จริง แต่ยังเยอะอยู่ เนื่องจากข้าวจากสายพาน มันมาเป็นระยะๆ ไม่สม่ำเสมอ ทำให้ลูกกะพ้อรับไม่หมด ลูกถัดไปต้องไปตักจากตีนกะพ้อ แล้วอีกอย่างข้าวไหลแรงเกินไป กะฉอกหมด"
...ข้าพเจ้าหาวัสดุแถวนั้นไปรองรับข้าว ปรับให้ไหลช้าลง และสม่ำเสมอขึ้น แล้วให้ดูที่พูเลย์ที่บดข้าว
"เป็นไง"
"น้อยลงเยอะครับ ไม่ค่อยมีแล้ว"
"โอเค ได้แนวทางแล้วนะ ต่อไปมีเวลาก็ทำให้แน่นหนา ถาวรละ"
"ครับ"
นอกจากนี้ข้าพเจ้ายังพบว่ารางข้าวจากเครื่องขัดขาวมาลงกะพ้อชัน ข้าวไหลแรง จนรู้สึกเจ็บมือ เลยต้องให้หาวัสดุนุ่มๆ มารองรับการกระแทก รางข้าวที่ยาว ชัน ข้าวไหลแรงกระแทกเหล็ก ซึ่งมีโอกาสทำให้การแตกหักเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น
ข้าวไหลแรง กระแทกเหล็ก ทำให้แตกหักเพิ่มขึ้น |
อีกจุดหนึ่งที่โรงสีส่วนใหญ่ละเลยคือ ฮอปเปอร์ของเครื่องยิงสี บางเครื่องไม่มีแผ่นบุรองรับ บางเครื่องมี แต่ชำรุดแล้ว ข้าวชนเหล็กเหมือนเดิม ผลคือ ได้เต้ยแถมมาหลังผ่านเครื่องยิงสี ถ้าอย่างนี้ต้องตรวจสอบแล้วนะ และควรทำเป็นประจำ กำหนดเวลาตรวจสอบทุกกี่เดือนก็ว่าไปตามเหมาะสมนะครับ
ไว้เจอกันคราวหน้าจะหาเกร็ดเล็ก เกร็ดน้อยมาฝากอีก ลาละ บ้าย บาย...
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
เครื่องกะเทาะข้าวเปลือก
เครื่องกะเทาะข้าวเปลือก: การควบคุม และการปรับแต่ง -เครื่องกะเทาะทำหน้าที่อะไร เครื่องกะเทาะข้าวเปลือกทำหน้าที่กะเทาะข้าวเปลือก (กำปั้นทุ...
-
วันนี้ ผมได้เข้าให้คำปรึกษาที่โรงสีแห่งหนึ่งในนครสวรรค์ แน่นอนงานของผมคือเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในโรงสี ซึ่งโดยปกติแล้ว ครั้งแรกที่เข้าโรงสี...
-
"ทำไมสีได้ต้นน้อยจังเลยครับ" คำถามจากเจ้าของโรงสี "ข้าวต้นกล้องมาเท่าไร" ข้าพเจ้าถามกลับบ้าง "40 กว่าครับ น่าจะสี...
-
ลูกยางกะเทาะข้าวเปลือก (บางพื้นที่เรียกหินยาง มีที่มาจากหินข้าวดำซึ่งใช้กะเทาะข้าวเปลือก เมื่อเปลี่ยนเป็นเครื่องกะเทาะซึ่งใช้ลูกยางในการกะเท...