วันนี้ ผมได้เข้าให้คำปรึกษาที่โรงสีแห่งหนึ่งในนครสวรรค์ แน่นอนงานของผมคือเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในโรงสี ซึ่งโดยปกติแล้ว ครั้งแรกที่เข้าโรงสีที่ยังไม่เคยเข้าไป สิ่งที่ต้องทำคือ ตรวจวัดประสิทธิภาพการสี และตรวจสภาพปัจจุบันของเครื่องในโรงสี
สิ่งที่พบเห็นไม่เพียงแต่ในโรงสีนี้ แต่แทบทุกโรงสีที่เข้า จะพบสิ่งที่เหมือนกัน และเป็นปัญหาที่ถูกละเลย นั่นคือ การควบคุมและปรับแต่งเครื่องกะเทาะ ช่างน่าเสียดายจริงๆ เพราะการกะเทาะเป็นหัวขบวนการผลิตในโรงสี ถ้าเริ่มไม่ดี ต่อให้เราระวังการขัดขาว ขัดมันดีแค่ไหนก็ได้เพียงระดับหนึ่ง เพราะความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว จะขอยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าสมมุติว่าโรงสีของเรามีการแตกหักทุกขั้นตอน ตั้งแต่กะเทาะ ขัดขาว ขัดมัน จนถึงคัดแยกด้วยตะแกรงกลม เกิดการแตกหักรวมแล้ว 50% นั่นหมายความว่าเราเหลือข้าวเต็มเมล็ดที่ท้ายกระบวนการผลิต 50% (แล้วจะได้ข้าวต้นเท่าไรค่อยมาว่ากันทีหลัง) ที่นี้สมมุติว่า เราลดการแตกหักที่เครื่องกะเทาะได้ 4% นั่นก็คือเรามีข้าวเต็มเมล็ดเข้าไปในกระบวนการผลิตเพิ่มขึ้น 4% ถ้าเราไม่ได้ปรับแต่งเครื่องจักรเลย นั่นก็คือ เกิดการแตกหัก 50% ตามการผลิตเดิม ดังนั้น 4% ที่เข้าไป แตกหักครึ่งหนึ่ง 2% เพราะฉนั้น ที่ท้ายกระบวนการผลิต เราจะมีข้าวเต็มเมล็ดเพิ่มขึ้น 2% (เช่นเดิมๆ แล้วจะได้ข้าวต้นเพิ่มเท่าไรค่อยมาว่ากันทีหลัง) เห็นไหมครับว่าถ้าเราเอาใจใส่ในขั้นตอนนี้อย่างจริงจัง เราจะได้ข้าวต้นเพิ่มขึ้น โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม เพียงแต่ต้องปรับวิธีปฏิบัติงานให้ได้มาตรฐานเท่านั้น แน่นอน เถ้าแก่ต้องเหนืื่อยเพิ่มอีกหน่อย พนง.ก็เช่นกัน ผมไม่มีเวลาครับ บางท่านแย้งมา ลูกน้องไม่ค่อยทำหรอก อีกท่านบอก ก็มีสาระพัดเหตุผลละครับที่แย้งมา เพราะมันทำให้การทำงานยุ่งยากขึ้น และเกี่ยวกับพนักงานที่จะให้ความร่วมมือหรือไม่ แต่เราต้องทำครับ ต้องทำให้เกิดให้ได้ เพราะเกี่ยวข้องกับเราโดยตรง เพราะหัว (ราคาข้าวเปลือก) ท้าย (ราคาขาย) ถูกควบคุมไว้แล้ว ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้ คือประสิทธิภาพในโรงสี นั่นคือ เพิ่ม %ข้าวต้น ลดการสูญเสีย ลดค่าใช้จ่ายในโรงสี ลดค่่าใช้จ่ายไม่ใช่ลดค่าแรงอย่างเดียวนะครับ ลดค่าใช้จ่ายในที่นี้หมายถึง ลดค่าใช้จ่ายต่อหน่วยลง นั่นคือ ลดค่าไฟ โดยการทำให้สีได้มากขึ้น เสียค่าไฟเท่าเดิม ใช้คนเท่าเดิม (ลดค่าแรงต่อหน่วยลงแล้วละ) แล้วอะไรอีกละ ค่าลูกยางกะเทาะไง ลูกยางคู่หนึ่งเรากะเทาะข้าวเปลือกได้เท่าไร น้อยเกินไปหรือไม่ ค่ายางขัดขาวละเป็นอย่างไร (เฉพาะโรงสีที่ใช้หินโคนนะครับ) ใช้เต็มประสิทธิภาพหรือไม่ กินเฉียงหรือเปล่า และค่าใช้จ่ายอื่นๆที่มีในโรงสี เอาหลักๆ ก่อนนะครับ คิดเป็นต่อหน่วยข้าวเปลือก (ตัน) ออกมา เปรียบเทียบในแต่ละเดือน เพิ่มลดอย่างไร (พอก่อน ชักจะไม่ใช่เครื่องกะเทาะแล้ว)
แรงจูงใจครับแรงจูงใจ นั่นคือสิ่งที่จะบอก อย่าลืมว่า ถ้าเอาใจใส่ และทำตามได้ เราจะมีส่วนเพิ่ม ส่วนเพิ่มนี้ละ เราต้องตีเป็นตัวเงินให้ได้ แล้วเราจะปันส่วนนี้ให้พนักงานอย่างไร เพื่อเป็นแรงจูงใจให้เขาเอาใจใส่เพิ่มขึ้น ระมัดระวังเพิ่มขึ้น งานสำเร็จ คนสำราญ พนักงานเบิกบานใจครับ ต่างคนต่างได้ นี่คือการสูญเสียที่เรามองไม่เห็นและละเลยมานาน
เอาละ แล้วการควบคุมเครื่องกะเทาะทำอย่างไร
นี่เกี่ยวข้องกับหลักการทำงานของเครื่องกะเทาะครับ ซึ่งเกี่ยวกับแรงที่กระทำต่อเมล็ดข้าวเปลือก 2 แรงคือ แรงเฉือนจากความแตกต่างของความเร็วของลูกยาง และแรงอัดจากแรงดันลม ซึ่งเราสามารถสรุปผลเพื่อให้สามารถนำไปใช้ปฏิบัติงานได้ง่ายคือ
1. ความโตของลูกยาง (เส้นผ่านศูนย์กลาง) ต้องเท่ากัน หรือใกล้เคียงกันมากที่สุด หรือดูด้วยตาเปล่ามองไม่เห็นความแตกต่างของขนาดลูกยาง
2. ผิวลูกยางต้องเรียบ ไม่เป็นร่อง ไม่เป็นเป็นคลื่น ไม่เป็นขอ เป็นปีกหรือขอบ
3. ลูกยางต้องไม่แกว่ง
4. อัตราการกะเทาะเหมาะสมกับพื้นข้าวเปลือก
5. มีลมดูดเพื่อลดอุณหภูมิในห้องกะเทาะ
6. มาตรวัดแรงดันลมทุกตัวสมบูรณ์ใช้งานได้
7. ความแข็งลูกยางเหมาะสมกับข้าวเปลือกที่เข้ากะเทาะ
8. พักลูกยางเพื่อลดอุณหภูมิลูกยาง
9. อัตราการปล่อยข้าวสม่ำเสมอ เหมาะสมกับพื้นข้าว
สุดท้ายสิ่งที่เราได้คืออัตราการกะเทาะสูงสุดเท่าที่จะทำให้การแตกหักน้อยที่สุด แต่ต้องสามารถเลี้ยงตะแกรงโยก และเครื่องขัดขาวทัน ซึ่งก็คือเป้าหมายของการกะเทาะ
ส่วนหน้าที่ของเครื่องกะเทาะ คือกะเทาะข้าวเปลือกให้ได้ข้าวกล้อง อย่าให้ไปกะเทาะอย่างอื่น เช่น หิน กรวด ฟางท่อน เศษไม้ แกลบ ข้าวลีบ ฯลฯ ซึ่ีงนอกจากจะทำให้กำลังผลิตข้าวกล้องไม่เป็นไปตามที่ต้องการแล้ว ยังทำให้สิ้นเปลืองลูกยางโดยใช่เหตุอีกด้วย
เอาละ ในส่วนเครื่องกะเทาะ เอาพอสังเขปเพียงเท่านี้ก่อน ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมค่อยมาว่ากัน
สวช.